หนุ่มเล่าประสบการณ์จริง หลังเข้ารับการรักษา โควิด-19 แนะงดการเดินทาง

สำหรับสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสCV-19 ส่งผลให้มีจำนวนผู้ที่ติดเชื้อเพิ่มขึ้นสูง เรียกได้ว่าสถานการณ์ของไทยในตอนนี้เริ่มน่าเป็นห่วง และล่าสุด หนึ่งในผู้ที่ติดเชื้อCV19 ได้ออกมาเผยข้อความแชร์ประสบการณ์ของตัวเอง

ซึ่งเรื่องราวนี้ถูกเผยแพร่โดย ผู้ใช้เฟสบุ๊คที่มีชื่อว่า  Tong Muaythai โดยเจ้าของโพสต์คนนี้ได้ให้รายละเอียดว่า

ใครกำลังกังวลว่าจะติดCV ผมมีคำแนะนำนะครับ 
1. สำรวจตัวเองว่ามีความเสี่ยงไหม หมายความว่า คนใกล้ชิดของคุณต้องติดเชื้อแล้ว !!! อันนี้ถึงเรียกว่าเสี่ยงจริงนะครับ ยํ้าว่าใกล้ชิดมากๆชนิดที่หายใจรดกัน กินข้าวจานเดียวกัน กินนํ้าแก้วเดียวกัน กอด จูบกัน สัมผัสกัน ประเภทเคยเดินสวนกัน ยืนคุยกัน กินข้าวแต่คนละจาน คนละแก้ว เตะบอลกัน ไปวิ่งไปเล่นกีฬาที่ไม่สัมผัสตัวกัน แบบนี้ไม่นับนะจ๊ะ !!!!
จริงๆหมอบอกว่า คนที่จะแพร่เชื้อได้คือคนที่มีอาการแล้ว เพราะเชื้อมันมีปริมาณมากพอ และแพร่ไปทางของเหลวที่ออกจากร่างกาย ผ่านการไอ จาม เป็นละอองฝอย เพราะฉะนั้นก่อนมีอาการ โอกาสแพร่เชื้อจึงน้อยมากๆๆ กลุ่มเสี่ยงจึงเป็นคนใกล้ชิดที่สัมผัสผู้ป่วยในช่วงที่ออกอาการแล้วเป็นหลักครับ แล้วดูย้อนหลังประมาณ 3-5 วันก็พอ
2. ถ้ามีข้อ1 ก็ทำตามนี้ คือ กักตัวเอง 14 วัน !!! ยังไม่ต้องไปตรวจใดๆทั้งสิ้น เพราะถึงไปก็อาจไม่เจอเชื้อ แถมไปเพิ่มภาระให้เจ้าหน้าที่รพ.อีก แทนที่เค้าจะเอาเวลาไปดูแลคนป่วยจริงๆ ยํ้าอีกที !!! ไม่ต้องรีบไปตรวจ อย่าตื่นตระหนกจนไปสร้างความเดือดร้อนให้คนอื่นดีกว่า แค่ดูแลตัวเองให้ดีก็พอนะครับ !!!
3. ขณะที่กักตัวเอง ถ้าเกิดมีอาการผิดปกติ เช่น มีไข้ เจ็บคอ ไอ เมื่อยเนื้อตัว หายใจลำบาก หืดหอบ เหนื่อยผิดปกติ ก็คืออาการป่วยต่างๆนี่ล่ะ จึงรีบไปหาหมอให้เค้าตรวจจริงจัง อย่าลืมว่าตอนออกจากบ้านก็ต้องป้องกันอย่าแพร่เชื้อระหว่างทางด้วยนะครับ
4. ถ้าผลตรวจเป็นบวก ขอแสดงความยินดีด้วย เพราะว่าคุณติดCVแล้ว แต่ไม่ต้องตกใจหรือกังวลใจเกินไป เพราะ #CVเป็นได้ก็หายได้
ทางรพ.จะบอกแนวทางการรักษาของแต่ละคน จริงๆแล้วก็คือ รักษาตามอาการนั่นเอง เพราะโรคนี้เป็นโรคใหม่ล่าสุดของมวลมนุษยชาติ จึงยังไม่มียารักษาหรือวัคซีนป้องกันที่ชัดเจน แต่ตามหลักของธรรมชาติร่างกายของมนุษย์นั้นน่าอัศจรรย์ เมื่อมีเชื้อโรคเข้าสู่ร่างกาย ร่างกายจะพยายามกำจัดมันเอง บางโรคที่เรารู้จักมันแล้ว ร่างกายก็กำจัดมันง่ายหน่อย แต่เชื้อCVมันมาใหม่ ร่างกายอาจใช้เวลาทำความรู้จักและกำจัดมันนานหน่อย ก็แค่นั้นเอง

ความน่ากลัวอยู่ที่ บางคนร่างกายไม่แข็งแรงอยู่แล้ว โดยเฉพาะคนที่มีโรคประจำตัว เป็นโรคเกี่ยวกับระบบทางเดินหายใจและปอด ไวรัสตัวนี้ก็จะมีอานุภาพการทำลายล้างเยอะหน่อย คนกลุ่มนี้จึงต้องระวังเป็นพิเศษ ส่วนคนปกติ อย่ากังวลไปเลย ยังไงก็หาย แค่ช้าหรือเร็วแล้วแต่คนไป
หมอจะให้คนที่มีไข้ก็กินพาราลดไข้ คนที่ไอก็กินยาแก้ไอ มีนํ้ามูกก็กินยาลดนํ้ามูก คนเจ็บคอก็กินยาฆ่าเชื้อไป เดี๋ยวอาการก็จะค่อยๆดีขึ้นเอง การรักษามีแค่นี้เอง

ที่ศิริราช มีวิธีรักษาเพิ่มอีกหน่อย คือ ให้ยาต้านไวรัส(8เม็ด/วัน) และ ยาแก้มาลาเรีย (2เม็ด/วัน) ทั้งหมด 5 วัน เพื่อยับยั้งการเจริญเติบโตของไวรัส ( ได้ผลหรือไม่ก็แล้วแต่ร่างกายของแต่ละคน เพราะอย่างที่บอกว่า ยังไม่มีการยืนยันจากกรมอนามัยโลกว่า มียารักษาCVได้ผล 100%) ยาทั้งสองตัวนี้ มีผลข้างเคียงค่อนข้างหนัก เพราะยาแรงมาก

ตอนผมกิน มีอาการ คลื่นไส้ พะอืดพะอมตลอดเวลา มึนหัว หายใจลำบาก กระสับกระส่าย นอนไม่หลับ กินไม่ได้ ทรมานสุดๆ บางครั้งคิดว่าตัวเองจะไหวไหม มันแย่มากๆ แต่หมอและพยาบาลจะคอยดูแลเรา รักษาตามอาการต่างๆ ประคับประคองให้ผ่านช่วง 5 วันอันตรายไปให้ได้ ผมได้คุยกับคนไข้คนอื่นๆ ก็มีอาการเดียวกันเกือบหมด มากบ้างน้อยบ้าง ทรมานเหมือนกัน

หลังจากหยุดยา อาการต่างๆจะดีขึ้นเรื่อยๆ กินได้ นอนหลับ ความเครียดจะลดลงไปได้เยอะเลย
สุดท้ายคุณหมอบอกว่า โดยเฉลี่ยคนที่เป็นCV ใช้เวลารักษาตัวจนเชื้อหมดประมาณ 7-30 วัน แล้วแต่สภาพร่างกายความแข็งแรงของแต่ละคน เมื่อผลตรวจเป็นลบ 2 ครั้งติดก็กลับบ้านได้ ถือว่าหายขาดแล้ว และร่างกายจะมีภูมิคุ้มกันโรคนี้ไปอีกนานเลย โอกาสติดเชื้อยากขึ้นและถ้าติดอีกก็จะหายไวขึ้น ถือเป็นข้อดีก็ว่าได้นะครับ

ตอนนี้ผู้ป่วยเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ โอกาสติดเชื้อมีอยู่ตลอด แค่เราป้องกันตัวเองดีๆ ดูแลคนรอบข้าง รับผิดชอบต่อสังคมส่วนรวม ไม่จำเป็นงดการเดินทางไปเลย ใช้ชีวิตอย่างมีสติที่สุด อย่าเอาแต่เสพข่าวแล้วไม่ป้องกัน อย่าวิตกจนพากันเครียด เพราะสุดท้ายแล้ว เราอาจไม่ติดCVแต่เราจะเสียสติจากสิ่งที่เรากังวลเกินไปก็เป็นได้นะครับ
#CVเป็นได้ก็หายได้
#เดี๋ยวจะหายให้ดู
ปล.ข้อเขียนนี้เป็นแค่ความเห็นและประสบการณ์ส่วนตัวของผม ไม่มีข้อมูลอ้างอิงใดๆทางการแพทย์นะครับ 
หวังว่าจะเป็นประโยชน์กับหลายๆคนที่กังวลใจอยู่นะครับ แชร์ได้เลย ผมยินดี

โพสต์ดังกล่าว

ขอบคุณข้อมูลจาก เว็บไซต์ jarmnews /FB Tong Muaythai
เรียบเรียงโดย kaazip.com